เจตมูลเพลิงแดง

จาก ระบบฐานข้อมูลพืชสมุนไพรไทย อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี
Rose-colored.png

วงศ์ : PLUMBAGINACEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Plumbago indica L.
ชื่อสามัญ : Rose-colored leadwort, Rosy leadwort, Fire plant, Official leadwort, Indian leadwort
ชื่อพื้นเมืองหรือชื่ออื่น ๆ : ปิดปีแดง, ปิดปิวแดง, ไฟใต้ดิน, ตอชูกวอ, ตั้งชู้โว้, คุ้ยวู่, อุบ๊ะกูจ๊ะ, จื่อเสี่ยฮวา, หงฮวาตัน, เจ็ดหมุนเพลิง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น : จัดเป็นไม้พุ่มล้มลุกขนาดเล็ก มีอายุหลายปี มีความสูงของต้นประมาณ 1 - 1.5 เมตร บ้างว่าสูงได้ประมาณ 2 - 3 เมตร ต้นแตกกิ่งก้านสาขารอบต้นมาก กิ่งก้านมักทอดยาว ยอดอ่อนเป็นสีแดง ส่วนลำต้นมีลักษณะกลมเรียบ กิ่งอ่อนเป็นสีเขียวปนแดงและมีสีแดงบริเวณข้อ
ใบ : ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเป็นคลื่น ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3 - 5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 8 - 13 เซนติเมตร แผ่นใบบางเป็นสีเขียว แผ่นใบมักบิด ส่วนก้านใบและแกนกลางใบอ่อนเป็นสีแดง
ดอก : ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะเชิงลด ช่อดอกยาวประมาณ 20 - 90 เซนติเมตร ก้านช่อดอกยาวประมาณ 1 - 3 เซนติเมตร ในช่อดอกจะมีดอกย่อยจำนวนมากประมาณ 10 - 15 ดอก โดยดอกจะออกเป็นช่อตั้งขึ้นที่ปลายกิ่งหรือปลายยอด กลีบดอกบางเป็นสีแดงสด มี 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็ก ๆ ยาวประมาณ 2.5 - 3.5 เซนติเมตร ส่วนปลายแยกเป็น 5 แฉก ลักษณะของกลีบเป็นรูปไข่กลับ ปลายกลีบกลมและมีติ่งหนามตอนปลาย ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร มีใบประดับและใบประดับย่อยลักษณะเป็นรูปไข่ขนาดเล็ก ยาวประมาณ 0.2 - 0.3 เซนติเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 5 ก้านติดตรงข้ามกลีบดอก มีอับเรณูยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร รังไข่เป็นรูปรี ส่วนก้านเกสรเพศเมียมีหลายขนาดและมีขนยาวที่โคน ดอกมีกลีบเลี้ยงสีเขียว 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปใบหอก เป็นหลอดเล็กยาวประมาณ 0.5 - 1 เซนติเมตร และมีขนเหนียว ๆ ปกคลุม เมื่อจับดูจะรู้สึกว่าเหนียวมือ
ผล : ออกผลเป็นฝักกลม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงรียาว ผลเป็นผลแห้ง เมื่อแก่จะแตกตามร่องได้
การขยายพันธุ์ : ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการปักชำกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มรำไร พื้นที่เนินสูง และไม่ชอบที่ชื้นแฉะ มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ในประเทศไทยเกือบทุกภาค สามารถพบได้ตามป่าดงดิบ ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณทั่วไป

สรรพคุณ

1. รากมีรสร้อน ช่วยบำรุงธาตุ บำรุงไฟธาตุในร่างกาย (ราก)
2. ช่วยแก้ธาตุพิการ (ราก)ช่วยรักษาอาการอันเกิดจากธาตุไฟทั้ง 4 เช่น หายใจถี่ มีอาการตัวเย็น นัยน์ตามัว เบื่ออาหาร ไอแห้ง ปวดท้องไม่หาย มือเท้าเป็นเหน็บชา ชอบนอนนานแล้วไม่อยากลุกขึ้น ฯลฯ (ราก)
3. ใบนำมาป่นผสมกับพริกไทย ขมิ้นดำ ดีปลี และไพล แล้วปั้นเป็นลูกกลอนใช้เป็นยาบำรุงกำลังและขับลม (ใบ) บ้างว่าใช้รากเข้ายาบำรุงกำลัง (ราก)
4. รากใช้เป็นยาบำรุง (ไม่ได้ระบุว่าบำรุงอะไร)
5. ทั้งต้นหรือรากมีรสเผ็ดร้อน เป็นยาร้อน ออกฤทธิ์ต่อปอดและหัวใจ ใช้เป็นยาขับเลือด ฟอกเลือด กระจายเลือดลม (ราก, ทั้งต้น)
6. ช่วยบำรุงโลหิต (ราก)
7. แก้โลหิตเน่าเสีย (ราก)
8. รากเจตมูลเพลิงแดงจัดอยู่มีตำรับยาขนานสุดท้ายที่ใช้แก้โรคหัวใจและอาการใจสั่น โดยมีส่วนผสมของสมุนไพร 13 ชนิด ได้แก่ รากเจตมูลเพลิงแดง การบูร ชะมดเชียง เทียนดำ พิมเสน หัวดองดึง อย่างละ 2 บาท กฤษณา กะลำภัก จันทน์เทศ อย่างละ 3 บาท กำยาน ขิง ดอกดีปลี อย่างละ 8 บาท และสนเทศอีก 40 บาท นำทั้งหมดมาบดเป็นผง เติมน้ำมะนาวแล้วปั้นเป็นแท่ง นำไปผึ่งในที่ร่มให้แห้ง แล้วเก็บไว้ในขวดโหล ใช้รับประทานกับกระสายน้ำมะนาวเมื่อเกิดอาการใจสั่นได้ผลดีนัก
9. ช่วยทำให้ร่างกายเกิดความอบอุ่น (ราก)
10. เนื่องจากรากเป็นยาที่ช่วยทำให้ร่างกายเกิดความอบอุ่น จึงนำมาใช้เป็นขี้ผึ้งปิดอกถอนพิษ แก้ปอดชื้น ปอดบวมได้ดี (ราก)
11. ดอกใช้เป็นยาแก้โรคทำให้หนาวและเย็น (ดอก)
12. ต้นมีรสร้อน ใช้แก้โลหิตที่เกิดแต่กองกำเดา (ต้น)
13. คนไทยในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย จะนำผ้ามาพันรากเพื่อป้องกันไม่ให้สัมผัสกับผิวหนังโดยตรง แล้วนำมาแขวนที่คอเพื่อใช้รักษาโรคดีซ่าน (อาการตาเหลือง ตัวเหลือง) (ราก)
14. ใบมีรสร้อน ใช้แก้ลมในกองเสมหะ (ใบ)
15. ช่วยกระจายลม (ราก)
16. ดอกใช้รักษาโรคตา (ดอก)
17. ผงรากช่วยระงับอาการปวดฟัน แต่ในประเทศฝรั่งเศสจะรากนำมาเคี้ยวเพื่อระงับอาการปวดฟัน (ราก)
18. ช่วยแก้อาการไอ (ราก)
19. ช่วยขับเสมหะ (ราก, ใบ)
20. รากใช้เป็นยาขมช่วยทำให้เจริญอาหาร ด้วยการใช้ผงของรากเจตมูลเพลิงแดง นำมาผสมกับผงดีปลี ลูกสมอพิเภก (บ้างว่าผสมขิงหรือเกลือด้วย) อย่างละเท่ากัน นำมาบดเป็นผงรวมกัน แล้วนำมาใช้รับประทานกับน้ำร้อนครั้งละ 2.5 กรัมหรือประมาณ 1 ช้อนแกง (บ้างว่าใช้ทั้งหมดนี้ผสมในยาธาตุจะเป็นยาช่วยย่อยและยาเจริญอาหาร) (ราก)
21. ช่วยในการย่อยอาหาร (ใบ, ราก)
22. รากช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้ผายเรอ แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ปวดเสียด จุกเสียด มีอาการแน่นหน้าอก ใบช่วยในการขับผายลม (ใบ, ราก)
23. รากช่วยแก้อาการปวดท้อง ท้องเสีย ท้องร่วง (ราก)บ้างก็ว่าใช้ต้นเป็นยาแก้ปวดท้อง (ต้น, ทั้งต้น)
24. ช่วยขับพยาธิ (ราก)
25. รากใช้เข้ายากับพริกไทย นำมาดองกับเหล้าดื่ม จะช่วยขับปัสสาวะ (ราก)
26. รากใช้เป็นยารักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ (ราก)
27. ช่วยรักษากามโรค (ราก)
28. ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร (ราก)
29. รากใช้เป็นยาช่วยขับประจำเดือนของสตรี ช่วยขับฟอกโลหิตระดู แก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ มีอาการปวดท้องน้อยในช่วงมีประจำเดือน ด้วยการใช้รากแห้งประมาณ 1 - 2 กรัม นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว แล้วใช้รับประทานครั้งละ 1/4 ถ้วยแก้ว (เนื่องจากรากมีฤทธิ์เพิ่มจังหวะและความถี่ในการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก คนสมัยโบราณจึงนำมาใช้ในกรณีที่สตรีคลอดบุตรแล้วรกไม่ตกออกมาด้วย) (ราก)บ้างก็ว่าใช้ต้นเป็นยาขับประจำเดือนของสตรี (ต้น)
30. ช่วยแก้อาการตกขาวของสตรี (ราก)
31. รากใช้ผสมในยาบำรุงของสตรีหลังการคลอดบุตร เพื่อช่วยให้มดลูกเข้าอู่ (ราก)
32. ดอกมีรสร้อน ใช้เป็นยาแก้พัทธปิตตะสมุฏฐาน (น้ำดีในฝัก) อาการที่ทำให้ใจขุ่นมัว คลั่งเพ้อ วิกลจริตไป (ดอก)บ้างว่าใบก็ช่วยแก้น้ำดีในฝักเช่นกัน (ใบ)
33. ใบมีรสร้อน ใช้เป็นยาแก้อพัทธปิตตะสมุฏฐาน (น้ำดีนอกฝัก) อาการปวดศีรษะและตัวร้อน สะท้านร้อนสะท้านหนาว จับไข้
34. ช่วยแก้ดีไม่ปกติ (ใบ)
35. รากใช้เป็นยาทาแก้โรคผิวหนัง ผงรากใช้เป็นยาทาภายนอกช่วยแก้โรคผิวหนังบางชนิด ทาแก้กลากเกลื้อน (ราก) ส่วนอีกตำรับยาแก้กลากเกลื้อน ระบุให้ใช้ต้นสด 20 กรัม นำมาตำให้แหลกใช้พอกบริเวณที่เป็นจนเริ่มรู้สึกแสบร้อนแล้วจึงเอาออก หรือจะใช้ต้นสดนำมาต้มกับน้ำ แล้วใช้น้ำที่ได้จากการต้มนำมาล้างผิวหนังบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อน (ต้น)
36. ผงจากรากใช้เป็นยาปิดพอกรักษาฝี ทำให้เกิดความร้อน ช่วยเกลื่อนฝีได้ (ราก) ตำรับยาแก้ฝีบวม ฝีบวมอักเสบ ให้ใช้ต้นสด 20 กรัม นำมาตำให้แหลกผสมกับเกลือเล็กน้อย ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็นฝีจนเริ่มรู้สึกว่าร้อนแล้วให้เอาออก (เพื่อไม่ให้ผิวหนังเกิดพุพอง) (ต้น)
37. ช่วยแก้คุดทะราด (ราก)
38. แก่นใช้เป็นยาแก้ขี้เรื้อนน้ำเต้า ขี้เรื้อนกวาง (แก่น)
39. กระพี้ใช้เป็นยาแก้เกลื้อนช้าง (กระพี้)
40. ใบนำมาตำใช้พอกบริเวณที่โดนตัวบุ้งที่ทำให้คัน โดยใช้ได้เหมือนใบเจตมูลเพลิงขาว แต่เจตมูลเพลิงแดงจะมีฤทธิ์แรงกว่าและใช้ได้ผลดีกว่า (ใบ)
41. ผลหรือลูกใช้เป็นยาแก้พยาธิผิวหนัง แก้ฝี (ผล)
42. รากใช้เป็นยาฆ่าเชื้อโรค (ราก)
43. ช่วยแก้อาการฟกช้ำ แก้เคล็ดขัดยอก ด้วยการใช้ต้นสด 20 กรัม นำมาตำให้แหลกผสมกับเกลือเล็กน้อย ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็นฝีจนเริ่มรู้สึกว่าร้อนแล้วให้เอาออก (ต้น)
44. แก้บวม (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)
45. ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย แก้อาการปวดตามข้อ ปวดข้ออันเนื่องมาจากลมชื้นเข้าแทรก ด้วยการใช้รากแห้งประมาณ 5 - 10 กรัม นำมาตุ๋นกับกระดูกหมูรับประทานเป็นยา หรือจะรากเข้ากับตำรายาดองเหล้า ใช้รับประทานเป็นยาก็ได้เช่นกัน (ราก)
46. ช่วยรักษาโรอัมพาต (ราก)
47. เจตมูลเพลิงแดงจัดอยู่ในตำรับยา "เบญจกูล" ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยสมุนไพร 5 ชนิด อันได้แก่ รากเจตมูลเพลิงแดง รากชะพลู เหง้าขิงแห้ง เถาสะค้าน และผลดีปลี โดยเป็นตำรับยาที่เป็นยาแก้โรคในกองเตโชธาตุ (ใช้รากเจตมูลเพลิง 16 ส่วน) กองวาโยธาตุ (ใช้รากเจตมูลเพลิง 8 ส่วน) และกองอากาศธาตุ (ใช้รากเจตมูลเพลิง 2 ส่วน) และยังช่วยปรับสมดุลในร่างกายของผู้ป่วยมะเร็ง สามารถช่วยต้านเซลล์มะเร็งปอดและมะเร็งเต้านมได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันการทำงานของ NK Cells ช่วยกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ ต้านการอักเสบ ช่วยยับยั้งการอักเสบได้ทั้งแบบเรื้อรังและแบบเฉียบพลัน โดยมีกลไกการออกฤทธิ์คล้ายกับในยาในกลุ่มของสเตียรอยด์ แต่จะให้ผลดีกว่ายาสเตียรอยด์ ชนิด Phenylbutazone และยังมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา Candida albicans และยังยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดหนอง เช่น Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus
48. เจตมูลเพลิงแดงจัดอยู่ในตำรับ "ยามันทธาตุ" (ตำรับยาแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ธาตุไม่เป็นปกติ) ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยสมุนไพรหลายชนิด ได้แก่ กระเทียม การบูร กานพลู โกฐเขมา โกฐเชียง โกฐจุฬาลัมพา โกฐสอ โกฐหัวบัว จันทร์แดง จันทร์เทศ ดีปลี เทียนขาว เทียนดำ เทียนแดง เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั๊กแตน รากช้าพลู รากเจตมูลเพลิงแดง รากไคร้เครือ เถาสะค้าน ลูกจันทร์ ลูกผักชีล้อม ลูกผักชีลา เปลือกสมุลแว้ง เปลือกโมกมัน พริกไทยล่อน หนักอย่างละ 1 ส่วน ขิง และลูกเบญกานี หนักอย่างละ 3 ส่วน (ราก)
49. เจตมูลเพลิงแดงจัดอยู่ในตับยา "ธรณีสัณฑะฆาต" (ตำรับยาคลายเส้น) ซึ่งเป็นตำรับยาที่ประกอบไปด้วยสมุนไพรหลายชนิด ได้แก่ กานพลู โกฐกระดูก โกฐเขมา โกฐน้ำเต้า ขิง ชะเอมเทศ ลูกกระวาน ลูกเร่ว ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ เทียนขาว เทียนดำ รากเจตมูลเพลิงแดง หัวกลอย หัวกระดาดขาว หัวกระดาดแดง หัวดองดึง หนักอย่างละ 1 ส่วน, ผักแพวแดง เนื้อลูกมะขามป้อม หนักอย่างละละ 2 ส่วน, รงทอง (ประสะแล้ว) หนัก 4 ส่วน, การบูร เนื้อลูกสมอไทย มหาหิงคุ์ หนักอย่างละ 6 ส่วน, ยาดำ หนัก 20 ส่วน และพริกไทยล่อน หนัก 96 ส่วน (ราก)
50. เจตมูลเพลิงแดงจัดอยู่ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิตหรือยาแก้ลม ได้แก่ ตำรับ "ยาหอมนวโกฐ" และจัดอยู่ในตำรับยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ตำรับ "ยาประสะกานพลู"
51. นอกจากนี้ยังมีตำรับยาอีกหลากหลายขนานที่เข้ารากเจตมูลเพลิงแดงร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ เช่น ยาหอมอินทจักร์ ตำรับยาแก้ไข้ทับระดูและระดูทับไข้ ตำรับยาแก้โรคเหงื่อออกมาก ยาแก้โรควิงเวียนหน้ามืดตาลาย ตำรับยาขนานใหญ่ แก้โรคลมอัมพาต ยาแก้โรคลมต่าง ๆ ยาแก้โรคประสาท ยาแก้โรคกระเพาะ ยาแก้ธาตุทั้งสี่แปรปรวน เป็นต้น

ประโยชน์

1. เปลือกใช้เป็นยาฆ่าแมงคาเรืองเข้าหู
2. ยอดอ่อนและใบมีรสชาติเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอม ใช้รับประทานเป็นผักสดได้ หรือนำมาใส่ข้าวยำ หรือนำไปปรุงเป็นอาหาร เช่น ทำแกงคั่ว แกงเผ็ด แกงเนื้อ เป็นต้น

คำแนะนำ

1. สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ เพราะมีสารที่ทำให้แท้งบุตรได้ ซึ่งในประเทศไทยและมาเลเซียถือว่าสมุนไพรชนิดนี้เป็นยาทำแท้ง
2. ยางจากรากเมื่อถูกผิวหนังจะทำให้ผิวหนังไหม้และพองได้เหมือนโดนเพลิงไฟ จึงได้ชื่อว่า "เจตมูลเพลิง" ส่วนคนใต้จะเรียกว่า "ไฟใต้ดิน" ดังนั้นในการจะจับต้องรากในขณะเก็บมาใช้ ก็ต้องสวมถึงมือเสียก่อน เพื่อป้องกันอาการปวดแสบปวดร้อน
3. เจตมูลเพลิงมีสาร Plumbagin ที่มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารและอาจเป็นพิษได้ จึงควรระมัดระวังในการใช้
4. สำหรับผู้ที่ใช้สมุนไพรเจตมูลเพลิงแดง ห้ามรับประทานเกินกว่าปริมาณที่กำหนด เพราะจะมีผลทำให้เส้นเลือดในมดลูกแตกและมีอาการตกเลือดได้

ลิงค์ข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.youtube.com/watch?v=2azyWZ1OaV4

>>> เจตมูลเพลิงแดง <<<


Rose-colored1.png Rose-colored2.png Rose-colored3.png Rose-colored4.png

แหล่งที่มาของภาพ
https://medthai.com/images/2014/03/เจตมูลเพลิงแดง.jpg
https://medthai.com/images/2014/03/ต้นเจตมูลเพลิงแดง.jpg
https://medthai.com/images/2014/03/ใบเจตมูลเพลิงแดง.jpg
https://medthai.com/images/2014/03/รูปเจตมูลเพลิงแดง.jpg
https://medthai.com/images/2014/03/ผลเจตมูลเพลิงแดง.jpg