ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ยอ"
Herb (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)  (สร้างหน้าด้วย "right '''วงศ์''' : RUBIACEAE <br> '''ชื่อวิทยาศาสตร์''' : ''Morinda citrifolia L...")  | 
				Herb (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)  ล (ล็อก "ยอ" ([แก้ไข=อนุญาตเฉพาะผู้ดูแลระบบ] (ไม่มีกำหนด) [เปลี่ยนชื่อ=อนุญาตเฉพาะผู้ดูแลระบบ] (ไ...)  | 
				
(ไม่แตกต่าง) 
 | |
รุ่นปรับปรุงเมื่อ 21:37, 30 มกราคม 2563
วงศ์ : RUBIACEAE 
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Morinda citrifolia L. 
ชื่อสามัญ : Great morinda, Tahitian noni, Indian mulberry, Beach mulberry 
ชื่อพื้นเมืองหรือชื่ออื่น ๆ : ยอ, แย่ใหญ่, ตาเสือ, มะตาเสือ, ยอบ้าน 
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น : เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 2 - 6 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก ขนาดโตเต็มที่ 5 - 10 เซนติเมตร ขึ้นกับอายุ และความอุดมสมบูรณ์ของดิน เปลือกลำต้นบางติดกับเนื้อไม้ ผิวเปลือกออกสีเหลืองนวลแกมขาว หยาบสากเล็กน้อย แตกกิ่งน้อย 3 - 5 กิ่ง ทำให้แลดูไม่เป็นทรงพุ่ม 
ใบ : เป็นใบเดี่ยว (simple leaf) แทงออกตรงข้ามกันซ้ายขวา มีรูปทรงรี หรือขอบขนาน ใบกว้างประมาณ 10 - 20 ซม. ยาวประมาณ 15 - 30 ซม. ใบอ่อนสีเขียวสด เมื่ออายุใบมากจะมีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาวประมาณ 1 ซม. โคนใบ และปลายใบมีลักษณะแหลม ขอบใบ และผิวใบเป็นคลื่น ผิวใบมันเกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนใบมักพบเป็นตุ่มที่เกิดจากแบคทีเรีย 
ดอก : ออกเป็นช่อกลมเดี่ยว ๆ สีขาว รูปทรงเหมือนหลอด ดอกแทงออกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกยาวประมาณ 3 - 4 ซม. ไม่มีก้านดอกย่อย จัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศที่มีทั้งเกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย กลีบรองดอก และโคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน กลีบดอกมีสีขาว เป็นรูปท่อ ยาวประมาณ 8 - 12 มม. ผิวดอกด้านนอกเรียบ ด้านในมีขน ดอกส่วนครึ่งปลายบนแยกเป็น 4 - 5 แฉก ยาวประมาณ 4 - 5 มม. เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย ยาวประมาณ 15 มม. แยกเป็น 2 แฉก อับเรณูยาวประมาณ 3 มม. 
ผล : เป็นชนิดผลรวม (multiple fruit) เช่นเดียวกับน้อยหน่า และขนุน เชื่อมติดกันเป็นผลใหญ่ดังที่เราเรียกผลหรือหมาก ขนาดผลกว้างประมาณ 3 - 5 ซม. ยาว 3 - 10 ซม. ผิวเรียบเป็นตุ่มพอง ผลอ่อนจะมีสีเขียวสด เมื่อแก่จะมีสีเหลืองอมเขียว และเมื่อสุกจะมีสีเหลือง และเปลี่ยนเป็นสีขาวจนเน่าตามอายุผล เมล็ดในผลมีจำนวนมาก เมล็ดมีลักษณะแบน ด้านในเมล็ดเป็นถุงอากาศทำให้ลอยน้ำได้ ผิวเมล็ดมีสีนํ้าตาลเข้ม 
การขยายพันธุ์ : ปลูกด้วยการเพาะเมล็ด แต่สามารถขายพันธุ์ด้วยวิธีอื่นได้เช่นกัน เช่น การปักชำ การตอน แต่การเพาะเมล็ดจะให้ผลที่ดีกว่าและอัตราการรอดจะสูงกว่าวิธีอื่น โดยการเพาะเมล็ดจะใช้วิธีการบีบแยกเมล็ดออกจากผลสุก แล้วล้างด้วยน้ำ และกรองเมล็ดออก ผลที่ใช้ต้องเป็นผลสุกจัดที่ร่วงจากต้นที่มีสีขาว เนื้อผลอ่อนนิ่ม ซึ่งจะได้เมล็ดที่มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม เมล็ดที่ได้ต้องนำไปตากแห้ง 3 - 5 วันก่อน และนำมาเพาะในถุงเพาะชำให้มีต้นสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ก่อนนำลงปลูก ต้นยอเป็นพันธุ์ไม้ที่ดูแลง่ายไม่ค่อยมีแมลงศัตรูพืช หรือโรคพืชมากและยังเป็นพืชที่ทนทานต่อสภาพดินเค็มและสภาวะแห้งแล้งอีกด้วย จึงทำให้มีการแพร่กระจายพันธุ์อย่างรวดเร็ว 
 
สรรพคุณ  
- 1. ลูกยอเป็นแหล่งของแคลเซียมและยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง
 - 2. ช่วยในการชะลอวัยและความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
 - 3. ช่วยบำรุงผิวพรรณ หนังศีรษะและผม
 - 4. ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ (น้ำลูกยอ)
 - 5. สารสโคโปเลติน (Scopoletin) ในน้ำลูกยอมีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือดที่หดตัว ทำให้ความดันโลหิตลดลงจนเป็นปกติ (ลูกยอ, น้ำลูกยอ)
 - 6. มีส่วนช่วยรักษาโรคเบาหวาน (น้ำสกัดจากใบยอ)
 - 7. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง (น้ำสกัดจากลำต้นยอ, น้ำสกัดจากใบยอ)
 - 8. ช่วยรักษาโรคกรดไหลย้อน ด้วยการทำเป็นเครื่องดื่ม ใช้คู่กับหัวหญ้าแห้วหมู อย่างแรกให้เลือกลูกยอห่าม นำมาหั่นเป็นแว่น ๆ ไม่บางหรือหนาจนเกินไป แล้วนำไปย่างไฟอ่อน ๆ (ปกติลูกยอจะมีกลิ่นเหม็น) โดยย่างให้เหลืองกรอบและย่างจนหมดกลิ่นเหม็นจริง ๆ จึงจะได้ตัวยาที่หอมน่ารับประทาน (การย่างจะนอกจากจะช่วยดับกลิ่นแล้วยังช่วยเพิ่มความเป็นด่างให้กับตัวยาด้วย จึงช่วยซับกรดและลดกรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ) สำหรับหญ้าแห้วหมูให้เอาส่วนหัวใต้ดินที่เราเรียกว่าหัวแห้วหมู นำไปคั่วให้เหลืองและมีกลิ่นหอม เมื่อเสร็จแล้วให้ตั้งไฟต้มน้ำจนเดือดแล้วเอาตัวยาทั้งสองชนิดลงไปต้มพร้อมกัน ใส่น้ำตาลกรวดพอหวาน ทิ้งไว้สักพักแล้วยกลงจากเตา ตัวยาที่ได้นี้จะมีกลิ่นหอม รอจนอุ่นแล้วนำมารับประทาน ส่วนที่เหลือให้กรองเอาแต่น้ำแช่ไว้ในตู้เย็นแล้วค่อยอุ่นรับประทาน ให้ดื่มติดต่อกัน 1 สัปดาห์แล้วสังเกตอาการ
 - 9. ช่วยแก้วัณโรค ด้วยการใช้ผลหรือใบทำเป็นยาพอก (ลูกยอ, ใบยอ)
 - 10. ลูกยอมีสารโปรซีโรนีน (Proxeronine) เมื่อรวมตัวกับเอนไซม์โปรซีโรเนส (Proxeronase) จะได้สารซีโรนีน (Xeronine) ที่ลำไส้ใหญ่ เมื่อดูดซึมกลับสู่เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย จะช่วยปรับสภาพเซลล์ให้มีความสมดุลและแข็งแรง และช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานได้เป็นอย่างดี
 - 11. ใช้บำบัดและรักษาโรคมะเร็ง
 - 12. ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับสมอง
 - 13. ใช้รักษาโรคติดสุราหรือยาเสพติด
 - 14. ใช้ลดอาการแพ้
 - 15. ใช้รักษาโรคหอบหืด
 - 16. ใช้รักษาโรคเบาหวาน
 - 17. ใช้รักษาโรคเส้นเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจ
 - 18. ใช้รักษาโรคอ่อนเพลียเรื้อรัง
 - 19. ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารต่าง ๆ
 - 20. ใช้รักษาโรคเซลล์เจริญเติบโตนอกมดลูก (Endometriosis)
 - 21. ใช้รักษาโรคภูมิคุ้มกันต่ำ
 - 22. ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง
 - 23. ใช้รักษาโรคเส้นโลหิตตีบ
 - 24. ใช้รักษาโรคโปลิโอ
 - 25. ใช้รักษาไซนัส
 - 26. ช่วยลดปริมาณสารพิษในร่างกาย ทำให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ เซลล์ในร่างกายอ่อนเยาว์ลง
 - 27. ช่วยซ่อมแซมและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ
 - 28. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและเนื้องอก
 - 29. ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ใหม่ในร่างกายเจริญเติบโตและทำหน้าที่ได้อย่างเป็นปกติ
 - 30. ช่วยแก้กระษัย (ใบยอ, รากยอ)
 - 31. ลูกยอมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาทแบบอ่อน ๆ ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้
 - 32. ช่วยบำรุงธาตุไฟ (ลูกยอสด)
 - 33. ช่วยให้เจริญอาหาร (ลูกยอ)
 - 34. ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร (น้ำสกัดจากใบยอ)
 - 35. ช่วยทำให้ระบบโลหิตหมุนเวียนดีขึ้น (ลูกยอสด)
 - 36. ช่วยบำรุงสมอง ช่วยเสริมสร้างความจำ ทำให้มีสมาธิดีขึ้น
 - 37. มีฤทธิ์กล่อมประสาท มีส่วนช่วยทำให้นอนหลับง่ายขึ้น
 - 38. ผลยอใช้ทำเป็นยาพอกแก้หัวสิว
 - 39. ใบยอมีวิตามินเอสูงจึงช่วยบำรุงและรักษาสายตา แก้อาการตาบอดตอนกลางคืนได้ (ใบยอ)
 - 40. ใช้รักษากุ้งยิง (ไอระเหยจากลูกยอ, ดอกยอ)
 - 41. ช่วยรักษาโรคมาลาเรีย (ใบยอ)
 - 42. ช่วยแก้ไข้ (ลูกยอสุก)
 - 43. ช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ (ใบสด)
 - 44. ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ (ลูกยอสด)
 - 45. ช่วยแก้เหงือกเปื่อยเป็นขุยบวม (ลูกยอโตเต็มที่แต่ไม่สุก)
 - 46. ใช้รักษาอาการเจ็บหรือแผลตกสะเก็ดรอบปาก หรือในปาก (ลูกยอดิบ)
 - 47. ช่วยรักษาอาการปากและเหงือกอักเสบ (ลูกยอสุก)
 - 48. ช่วยแก้อาการปวดฟัน (ลูกยอสุก)
 - 49. ลูกยอสุกมีสารแอสเพอรูโลไซด์ (Asperuloside) ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน (ลูกยอสุก)
 - 50. ช่วยแก้อาการเจ็บคอ ด้วยการใช้ลูกยอดิบนำไปเผาไฟให้สุกและแช่ในน้ำต้มสุก แล้วรินเอาแต่น้ำดื่มเพื่อบรรเทาอาการ หรือจะใช้ลูกยอสุกบดละเอียดใช้กลั้วคอแก้อาการ (ลูกยอดิบ, สด)
 - 51. ช่วยแก้เสมหะ ด้วยการใช้ลูกยอดิบนำไปเผาไฟให้สุกและแช่ในน้ำต้มสุก แล้วรินเอาแต่น้ำดื่ม
 - 52. สารเซโรโทนิน (Serotonin) ในผลยอช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ลำไส้ดูดซึมได้ง่าย
 - 53. ช่วยขับลมในลำไส้ (ลูกยอสด, ลูกยอสุก)
 - 54. ช่วยในการย่อยอาหาร แก้อาการอาหารไม่ย่อย (ลูกยอสด, ลูกยอสุก)
 - 55. ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง (ลูกยอ)
 - 56. ช่วยระบายท้อง ทำให้ขับถ่ายได้สะดวก (ทุกส่วน)
 - 57. ช่วยแก้อาการปวดท้อง (น้ำสกัดจากใบยอ)
 - 58. ใบยอใช้ปรุงเป็นอาหารแก้อาการท้องร่วง (ใบยอ)
 - 59. ช่วยแก้อาการปวดกระเพาะ (น้ำมันสกัดจากลูกยอ)
 - 60. ช่วยลดอาการท้องผูกได้
 - 61. สารแอนทราควิโนน (Anthraquinone) ในลูกยอช่วยกระตุ้นทำให้ลำไส้ใหญ่มีการบีบตัวเพิ่มขึ้น จึงช่วยขับของเสียออกจากร่างกายได้มากขึ้น
 - 62. ช่วยรักษาอาการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหาร
 - 63. ช่วยรักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
 - 64. ช่วยรักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ (น้ำสกัดจากใบยอ)
 - 65. ใช้รักษาอาการอักเสบ ปวดบวม ปวดในข้อ ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อต่าง ๆ (แพทย์ทางเลือกสมัยใหม่)
 - 66. ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับตับ
 - 67. ช่วยรักษาโรคดีซ่าน (เปลือกต้น)
 - 68. แก้อาการไส้เลื่อน (น้ำสกัดจากใบยอ)
 - 69. ในลูกยอมีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone) ช่วยขับพยาธิ (ลูกยอแก่)
 - 70. ช่วยขับประจำเดือน ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ (ลูกยอสด)
 - 71. ชาวพื้นเมืองแถบโพลีนีเซีย (Polynesia) ใช้ผลอ่อน ใบ และราก เพื่อรักษาอาการผิดปกติของประจำเดือน
 - 72. น้ำคั้นจากรากยอใช้แก้แผลที่มีอาการอักเสบรุนแรง (รากยอ)
 - 73. ลูกยอสุกนำมาบดใช้ทาผิวเพื่อฆ่าเชื้อโรค
 - 74. มีการนำไปทำเป็นน้ำมันสกัดจากเมล็ดยอ ใช้ทาเพื่อลดอาการอักเสบ (น้ำมันสกัดจากเมล็ดยอ)
 - 75. น้ำมันสกัดจากเมล็ดยอช่วยป้องกันแมลง (น้ำมันสกัดจากเมล็ดยอ)
 - 76. น้ำมันสกัดจากเมล็ดยอใช้ทาช่วยลดการเกิดสิว (น้ำมันสกัดจากเมล็ดยอ)
 - 77. ใช้รักษาบาดแผลและอาการบวม (ลูกยอสุก)
 - 78. ผลยอใช้ทำเป็นยาพอกรักษาแผลถลอก (ลูกยอ, ใบยอ)
 - 79. ผลยอใช้ทำเป็นยาพอกแก้ตุ่ม ฝีฝักบัว
 - 80. ช่วยรักษาแผลพุพอง (ใบยอสด)
 - 81. ใบใช้ทำเป็นยาพอกใช้แก้พิษจากการถูกปลาหินต่อย
 - 82. ใบใช้ทำเป็นยาพอกใช้แก้กระดูกแตก กล้ามเนื้อแพลง (ใบยอ)
 - 83. ลูกยอบนใช้ทาแก้ส้นเท้าแตก
 - 84. ผลยอใช้ทำเป็นยาพอกแก้อาการเคล็ดขัดยอก หรือจะใช้ใบยอทำเป็นยาพอกก็ได้ (ลูกยอ, ใบยอ)
 - 85. น้ำคั้นจากใบยอใช้ทาแก้อาการปวดตามข้อนิ้วมือ นิ้วเท้า (ใบยอ)
 - 86. น้ำคั้นจากใบยอใช้ทาเมื่อมีอาการปวดเนื่องจากโรคเกาต์ (ใบยอ)
 - 87. ใบสดมีการนำมาใช้สระผมและกำจัดเหา หรือจะใช้น้ำมันสกัดจากเมล็ดยอก็ได้ (ใบสด, น้ำมันสกัดจากเมล็ดยอ) 
 
ประโยชน์  
- 1. ลูกยอสุก นำมาจิ้มกินกับเกลือหรือกะปิ
 - 2. ลูกห่ามใช้ทำส้มตำ
 - 3. ใบอ่อน นำมาลวกกินกับน้ำพริก ใช้ทำแกงจืด แกงอ่อม ผัดไฟแดง หรือนำมาใช้รองกระทงห่อหมก (เวลากินห่อหมกควรกินใบยอด้วย เพราะมีวิตามินสูง)
 - 4. นำมาใช้ทำสีย้อมผ้า รากนำมาใช้ย้อมสีให้สีแดงและสีน้ำตาลอ่อน ส่วนเปลือกจะให้สีแดง เนื้อเปลือกจะให้สีเหลืองใช้ย้อมผ้าบาติก
 - 5. ปัจจุบันมีการนำลูกไปแปรรูปโดยคั้นเป็น น้ำลูกยอ Noni หรือ น้ำลูกยาโนนิ
 - 6. รากยอมีการนำมาใช้แกะสลัก ทำรงควัตถุสีเหลือง
 - 7. ใบสดมีการนำมาใช้ทำเป็นอาหารสัตว์ หรือนำมาเลี้ยงตัวหนอนไหม
 - 8. ลูกยอสุกมีการนำมาใช้ทำเป็นอาหารหมู
 - 9. มีการนำมาใช้ทำเป็นยารักษาสัตว์ (แพทย์ทางเลือกสมัยใหม่) 
 
คำแนะนำ  
- 1. สารโพรซีโรนินที่พบในน้ำลูกยอ ต้องการน้ำย่อยเปปซิน (Pepsin) และสภาพความเป็นกรดในกระเพาะ เพื่อเปลี่ยนเป็นซีโรนิน ดังนั้น หากรับประทานน้ำลูกยอขณะที่ท้องอิ่มแล้วจะทำให้มีผลทาเภสัชของสารซีโรนินน้อยลง
 - 2. คุณค่าและสรรพคุณน้ำลูกยอจะลดลงเมื่อรับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์
 - 3. การบดหรือการสกัดน้ำลูกยอไม่ควรทำให้เมล็ดยอแตก เพราะสารในเมล็ดยอมีฤทธิ์เป็นยาระบายอาจทำให้ถ่ายบ่อยได้
 - 4. ผู้ป่วยโรคไตไม่ควรดื่มน้ำลูกยอ เพราะมีเกลือโปแตสเซียมสูง อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้
 - 5. สตรีมีครรภ์ไม่ควรบริโภคลูกยอ เพราะผลยอมีฤทธิ์ขับโลหิต อาจทำให้แท้งบุตรได้
 
  
  
  
 แหล่งที่มาของภาพ 
https://medthai.com/images/2013/07/Noni-1.jpg
https://www.nanagarden.com/Picture/Product/400/223632.jpg
http://clgc.agri.kps.ku.ac.th/images/resource/herb/noni/morinda-2.jpg
https://sites.google.com/site/lukyxnoni2032/_/rsrc/1457788329081/nit/1210788830.jpg
https://static1-velaeasy.readyplanet.com/www.disthai.com/images/content/original-1531107789348.jpg
