ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พริก"
Herb (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)  (สร้างหน้าด้วย "right '''วงศ์''' : SOLANACEAE <br> '''ชื่อวิทยาศาสตร์''' : ''Capsicum frutescens L.''  <...")  | 
				Herb (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)   | 
				||
| แถว 1: | แถว 1: | ||
| − | [[ไฟล์:  | + | [[ไฟล์:chili.png|right]]  | 
'''วงศ์''' : SOLANACEAE <br>  | '''วงศ์''' : SOLANACEAE <br>  | ||
'''ชื่อวิทยาศาสตร์''' : ''Capsicum frutescens L.''  <br>  | '''ชื่อวิทยาศาสตร์''' : ''Capsicum frutescens L.''  <br>  | ||
| แถว 58: | แถว 58: | ||
:::2. สารแคปไซซินในพริกมีฤทธิ์ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ ดังนั้นในคนที่กินพริกมาก (กินเผ็ดจัด) อาจเกิดการระคายเคืองตั้งแต่เนื้อเยื่อในปาก รวมไปถึงระบบทางเดินอาหารทั้งหมด ทั้งกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแสบร้อน กระตุ้นการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร รวมไปถึงอาจทำให้ท้องเสียได้ ดังนั้นคนเป็นโรคกระเพาะอยู่แล้วไม่ควรกินพริกหรือกินรสเผ็ดมาก  | :::2. สารแคปไซซินในพริกมีฤทธิ์ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ ดังนั้นในคนที่กินพริกมาก (กินเผ็ดจัด) อาจเกิดการระคายเคืองตั้งแต่เนื้อเยื่อในปาก รวมไปถึงระบบทางเดินอาหารทั้งหมด ทั้งกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแสบร้อน กระตุ้นการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร รวมไปถึงอาจทำให้ท้องเสียได้ ดังนั้นคนเป็นโรคกระเพาะอยู่แล้วไม่ควรกินพริกหรือกินรสเผ็ดมาก  | ||
----  | ----  | ||
| − | <center>[[ไฟล์:  | + | <center>[[ไฟล์:chili1.png]]  [[ไฟล์:chili2.png]]  [[ไฟล์:chili3.png]]  [[ไฟล์:chili4.png]] </center>  | 
----  | ----  | ||
'''แหล่งที่มาของภาพ''' <br>  | '''แหล่งที่มาของภาพ''' <br>  | ||
รุ่นปรับปรุงเมื่อ 21:07, 30 มกราคม 2563
วงศ์ : SOLANACEAE 
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Capsicum frutescens L.  
ชื่อสามัญ : Chilli peppers, chili, chile, chilli  
ชื่อพื้นเมืองหรือชื่ออื่น ๆ : 
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้น : ลำต้นพริกตั้งตรง สูงประมาณ 1 - 2.5 ฟุต โดยจะมีกิ่งเจริญจากต้นเพียงกิ่งเดียว แล้วค่อยแตกออกเป็น 2 กิ่ง 4 กิ่ง 8 กิ่ง 16 กิ่งไปเรื่อย ๆ ซึ่งในระยะแรกทั้งลำต้นและกิ่งจะเป็นไม้เนื้ออ่อน แต่พอมีอายุมากขึ้น ลำต้นจะแข็งแรงมากขึ้น แต่กิ่งยังเป็นไม้เนื้ออ่อนที่เปราะหักง่ายเหมือนเดิม 
ใบ : เป็นใบเลี้ยงคู่ มีลักษณะแบนราบเป็นมัน มีขนเล็กน้อย โดยจะมีรูปร่างตั้งแต่รูปไข่ไปจนถึงทรงเรียวยาว โดยพริกแต่ละชนิดก็จะมีขนาดแตกต่างกันออกไป เช่น ใบพริกหวานมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ใบพริกขี้หนูทั่วไปมีขนาดเล็กในช่วงเป็นต้นกล้า แต่พอโตเต็มที่ก็จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ 
ดอก : เป็นดอกสมบูรณ์เพศ คือมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ภายในดอกเดียวกัน โดยปกติมักพบเป็นดอกเดี่ยว แต่อาจจะพบหลายดอกเกิดตรงจุดเดียวกันได้ โดยส่วนประกอบของดอก ประกอบไปด้วยกลีบรองดอก 5 พู กลีบดอกสีขาว 5 กลีบ แต่บางพันธุ์อาจมีสีม่วง และอาจมีกลีบตั้งแต่ 4 - 7 กลีบ มีเกสรตัวผู้ 5 อัน ซึ่งแตกจากตรงโคนของชั้นกลีบดอก ซึ่งอับเกสรตัวผู้เป็นสีน้ำเงิน แยกตัวเป็นกระเปาะเล็ก ๆ ยาว ๆ ส่วนเกสรตัวเมียชูสูงขึ้นไป
ผล : รูปร่างและขนาดของผลเปลี่ยนแปลงไปตามพันธุ์ ส่วนมากผลมีขนาดเล็กแต่มีรสเผ็ดมาก สภาพอากาศและอุณหภูมิในแต่ละ ท้องถิ่นจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความเผ็ดร้อนของพริกได้  
การขยายพันธุ์ : โดยวิธีการใช้เมล็ดพริกหยอดเมล็ดโดยตรงในหลุม, เพาะเมล็ดพริกให้งอกแล้วนำไปปลูกในหลุม, เพาะเมล็ดในแปลงเพาะก่อน 
 
สรรพคุณ  
- 1. พริกมีวิตามินซี สูง
 - 2. เป็นแหล่งของกรด ascorbic ซึ่งสารเหล่านี้ ช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อให้ดูดซึมอาหารดีขึ้น
 - 3. ช่วยร่างกายขับถ่าย ของเสียและนำธาตุอาหารไปยังเนื้อเยื่อของร่างกาย (tissue)
 - 4. พริกขี้หนูสดและพริกชี้ฟ้าของไทย มีปริมาณวิตามิน ซี 87.0 - 90 มิลลิกรัม / 100 g นอกจากนี้พริกยังมีสารเบต้า - แคโรทีนหรือวิตามินเอ สูง (พริกขี้หนูสด 140.77 RE )
 - 5. พริกยังมีสารสำคัญอีก 2 ชนิด ได้แก่ Capsaicin และ Oleoresinโดยเฉพาะสาร Capsaicin ที่ นำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และผลิตภัณฑ์รักษาโรค ในอเมริกามีผลิตภัณฑ์จำหน่ายในชื่อ Cayenne สำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร
 - 6. สาร Capsaicin ยังมีคุณสมบัติทำให้เกิดรสเผ็ด ลดความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ หัวไหล่ แขน บั้นเอว และส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 
 
ประโยชน์  
- 1. พริกมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย
 - 2. ช่วยให้อารมณ์ดี ทำให้ร่างกายสร้างสาร Endorphin (สารแห่งความสุข)
 - 3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
 - 4. วิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
 - 5. ช่วยในการบำรุงและรักษาสายตา
 - 6. ช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหารยิ่งขึ้น
 - 7. สารแคปไซซินช่วยให้เกิดอาการตื่นตัวของร่างกาย
 - 8. ช่วยในการดีท็อกซ์ของร่างกาย
 - 9. พริกช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก และลดเสมหะ
 - 10. ช่วยบรรเทาอาการไอ
 - 11. ช่วยลดสารที่มากีดขวางระบบทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากการเป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่าง ๆ
 - 12. ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด หรือโรคเลือดออกตามไรฟัน
 - 13. ช่วยให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น
 - 14. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง และความเผ็ดของพริกมีส่วนช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งได้
 - 15. ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอลในร่างกาย ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดลดลง
 - 16. ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด เส้นเลือดสมองอุดตัน
 - 17. ช่วยในการสลายลิ่มเลือด
 - 18. ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจล้มเหล
 - 19. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดให้ดียิ่งขึ้น
 - 20. ช่วยลดความดันโลหิต
 - 21. ช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มการยึดตัวของผนังหลอดเลือด
 - 22. ช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อการดูดซึมอาหารที่ดีขึ้น
 - 23. สาร Capsaicin ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร
 - 24. ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียและนำธาตุอาหารไปยังเนื้อเยื่อในร่างกาย
 - 25. ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย ขับแก๊สในกระเพาะ
 - 26. มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ
 - 27. ช่วยป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ในบริเวณจมูก ลำคอ ปอด เยื่อบุผนังช่องปาก
 - 28. ช่วยไม่ให้เมือกเสีย ๆ มาจับตัวกันภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วย
 - 29. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดต่าง ๆ เช่น อาการปวดฟัน เจ็บคอ การอักเสบของผิวหนัง อาการปวดศีรษะ ปวดเส้นเอ็น โรคเกาต์ ข้อต่ออักเสบ เป็นต้น
 - 30. พริกช่วยกระตุ้นให้อยากอาหารมากขึ้น
 - 31. ใช้ในการประกอบอาหาร ปรุงแต่งอาหาร
 - 32. นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่น พริกแห้ง พริกป่น พริกดอง ซอสพริก เครื่องแกง น้ำพริกต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค
 - 33. รวมไปถึงอาวุธป้องกันตัวอย่างสเปรย์พริกไทย (ไม่ถือว่าเป็นอาวุธร้ายแรง)
 - 34. ในด้านการแพทย์แผนจีนนำสารนี้มาใช้ประโยชน์เพื่อบำรุงพลังหยาง
 - 35. ในด้านการแพทย์ได้มีการสกัดเอาสารแคปไซซินในพริกออกมาในรูปแบบครีมหรือเจล ใช้ทาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก งูสวัด เป็นต้น
 - 36. ในด้านความงามจะใช้สารสกัดจากแคปไซซินมาสกัดเป็นเจลเพื่อใช้ในการนวดลดเซลลูไลต์ สลายไขมัน 
 
คำแนะนำ  
- 1. การใช้ในปริมาณที่มากเกินไป อาจมีผลกระทบต่ออาการหยุดชะงักการทำงานของกล้ามเนื้อได้เช่นกัน เพื่อความปลอดภัย USFDA ได้กำหนดให้ใช้สาร ห.ห.ห.ได้ ที่ความเข้มข้น 0.75 % สำหรับเป็นยารักษาโรค
 - 2. สารแคปไซซินในพริกมีฤทธิ์ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ ดังนั้นในคนที่กินพริกมาก (กินเผ็ดจัด) อาจเกิดการระคายเคืองตั้งแต่เนื้อเยื่อในปาก รวมไปถึงระบบทางเดินอาหารทั้งหมด ทั้งกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแสบร้อน กระตุ้นการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร รวมไปถึงอาจทำให้ท้องเสียได้ ดังนั้นคนเป็นโรคกระเพาะอยู่แล้วไม่ควรกินพริกหรือกินรสเผ็ดมาก
 
  
  
  
 แหล่งที่มาของภาพ 
https://s3-ap-southeast-1.amazonaws.com/tescolotus-website/uploads/userfiles/images/Tesco+Lotus+-+chilli+1.png
http://kroobannok.com/news_pic/p93340861114.jpg
https://f.ptcdn.info/760/009/000/1379248090-image-o.jpg
https://live.staticflickr.com/3045/3049964558_1438ab3594.jpg
https://www.technologychaoban.com/wp-content/uploads/2018/12/chilli-2693677_1920.jpg
